เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o มี.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันภูมิใจ ภูมิใจเพราะสังคมจะร่มเย็นเป็นสุข ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม เราเป็นหน่วยของสังคมเราก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุขด้วย ความร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนต้องการปรารถนา สัตว์โลกเกิดมานะเกลียดทุกข์ ปรารถนาความสุข แต่ความสุขมันก็มีหยาบ มีละเอียด ถ้าความสุขของโลกเขา คนเราถ้ามันไม่ลึกซึ้ง มันก็ว่าสิ่งที่มีความเป็นอยู่ทางโลกที่อุดมสมบูรณ์นั้นเป็นความสุข แต่เวลาคนเจริญเติบโตขึ้นมา เวลาเขาต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้น เขาจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นของที่อาศัยชั่วคราว

แต่ถ้าเป็นความสุขนะ ความสุขทางโลก ใช่ ถ้ามันจะเจริญนะ สิ่งที่เจริญทางวัตถุ ถ้าเจริญด้วยศีลธรรม เพราะว่าเจริญด้วยศีลธรรมมันไม่บาดหมาง ไม่มีการกระทบกระเทือนกัน แต่ถ้าวัตถุนั้นเจริญขึ้นมานะ มันมีการบาดหมาง วัตถุนั้นจะเป็นตราบาปให้คนเห็นแล้วมันสะเทือนใจทุกที แต่ถ้าวัตถุนั้นเจริญด้วยความชอบธรรมนะ สิ่งนั้นจะเป็นความสุขมาก จะเป็นคุณงามความดี แล้วเป็นกาล เป็นเวลา สภาคกรรม คนเราเกิดมาแต่ละคน ทุกคนมีบุญนะ แต่เวลาเราบริหารจัดการ เราจะต้องบริหารจัดการสภาวะแวดล้อม บริหารจัดการสังคมที่เรารับผิดชอบ

ฉะนั้น ความเจือจาน เหมือนน้ำพริกที่เข้มข้น ถ้าเจือจานมากไปมันก็จืดชืด รสชาติมันก็ต้องต่ำเป็นธรรมดา บารมีของคน คนๆ หนึ่งมีบารมีมหาศาลเลย แต่เวลาบริหารจัดการ เวลาปกครองคน สิ่งนั้นมันต้องจุนเจือไปด้วย ฉะนั้น การสร้างบุญกุศล การที่เป็นผู้นำของคนมันถึงเป็นได้ยาก นี่เราทำบุญด้วย แล้วเราบอกให้คนอื่นทำด้วย

เราทำบุญของเรา เราก็มีบุญกุศลของเรา แต่เราไม่ได้บอกคนอื่น เราไม่มีบริษัทบริวาร เราบอกคนอื่นด้วยแต่เราไม่ได้ทำ เราบอกคนอื่นด้วย เราทำของเราด้วย เราดูแลของเราด้วย บริหารจัดการของเราด้วย สิ่งนั้นจะเป็นคุณธรรม สิ่งนั้นเป็นคุณงามความดี มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลธรรม จริยธรรม ต่างจากสัตว์ตรงไหน? มันมีการเจือจาน มีสติปัญญายับยั้ง มีการควบคุมอารมณ์ มีการบริหารจัดการในชีวิตประจำวันได้ดีกว่าเขา

นี้ชีวิตประจำวันนะ คนเกิดมา นี่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์สมบัติของเราเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าเรามีสติปัญญา นี่เวลาคนประสบความสำเร็จไปแล้ว เขาส่งต่อไว้เป็นมรดกตกทอดในชาติในตระกูลของเขา แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา สมบัติสิ่งนี้เป็นสมบัติจากภายในนะ ถ้าสมบัติจากภายใน ดูสิเราอยู่ที่ไหนเรารู้ของเรา อยู่ป่า อยู่เขา อยู่ต่างๆ เรามีความร่มเย็นเป็นสุขของเรา สิ่งที่ความร่มเย็นเป็นสุขของเรา สิ่งนี้จำเป็น

ฉะนั้น เวลาจำเป็นขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม ในสังคมของชาวพุทธเราบอกว่าเราบริหารจัดการ เราเกิดมาเราต้องอยู่ในครอบครัวของเรา จนแก่จนเฒ่าเราจะหาที่พึ่ง จะไปวัดไปวา ไปถือศีล จำศีล เพื่ออะไร? เพื่อไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีความเดือดร้อน ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าสังคมมันเจริญขึ้นมาในการปฏิบัตินะ นี่ “ธรรมะปฏิรูป”

สิ่งที่เวลาคนเข้าวัดเข้าวามาก ใช่ สิ่งนั้นเป็นคุณงามความดีไหม? ใช่ นี่ปริมาณกับคุณภาพ ถ้าปริมาณ สิ่งที่ปริมาณเข้ามา เห็นไหม ทุกคนเป็นหน่วยของสังคม คนๆ หนึ่งเป็นสังคม เราอยู่ในสังคมๆ หนึ่งใช่ไหม? ถ้าเราขวนขวายของเรา เราไปวัดไปวาของเรา เราไปวัดใจของเรา ถ้าไปวัดไปวา ไปวัดด้วยความร่มเย็น ไปแล้วมีความชื่นใจ ไปวัดแล้วขัดข้องหมองใจ แต่ขัดข้องหมองใจ เริ่มต้นดูพ่อแม่พาลูกมาวัดสิ พ่อแม่พอลูกมาวัดนะ เราก็ต้องชักนำเขา เราชักนำเขาให้เขาเลือกเฟ้นว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด

ถ้าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด มันผิดที่ไหนล่ะ? มันผิดที่ศาสนบุคคลหรือ? ดูพระสิ ดูสังคมของสงฆ์ต่างๆ มันก็มีปนกัน มีผิดและถูกปนกัน สิ่งที่ปนกัน แต่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ คำว่าเชื่อถือได้เพราะว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม นั้นคือการฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสคือการฆ่าอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ความไม่แจ่มแจ้ง นี่โดนทำลายไปด้วยมรรคญาณหมดแล้ว

สิ่งที่โดนทำลายด้วยมรรคญาณหมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ ธรรมวินัย เราศึกษาธรรมวินัย นี่ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรม ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคลนี้เป็นสิ่งที่หล่อหลอม เหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้มีแก่น มีเปลือก มีกระพี้ ถ้าไม่มีเปลือก ต้นไม้ไม่มีเปลือกอยู่ไม่ได้นะ มันไม่มีอาหารนะ ต้นไม้มันต้องมีเปลือกของมันเพื่อหล่อเลี้ยงอาหารของมันขึ้นไปตามเปลือกไม้นั้น เพื่อทำให้ต้นไม้นั้นแข็งแรง

สังคมชาวพุทธ สังคมหล่อหลอมไว้ ถ้าสังคม นี่เราเข้าวัดเข้าวาแล้ว เข้าวัดเข้าวาเข้าไปทำไม? เห็นไหม เขาบอกว่าไป เขาพูดด้วยนะ บอกว่าไปทำบุญ ๙ วัด ไปปักธูปแล้วก็กลับ ไปปักธูป ๙ วัด นี่พอเข้าวัดกัน เราไป สังคมเราเข้าไปวัดไปวา ไปวัดใจของเรา เราเข้าวัด เข้าวัดแล้วนี่ถ้าเห็นนะ เห็นสมณะ ความสงบร่มเย็นในการเคลื่อนไหวนั้น ไปเห็นวัด อาราม อารามิก ผู้ที่ไม่มีเรือน คนที่เขาไม่มีเรือน เขาอยู่ในที่สาธารณะ

ดูสิเวลาเจ้าอาวาสองค์หนึ่งเสียไป ตั้งเจ้าอาวาสใหม่ เวลาพระองค์หนึ่งเสียไป สังคมสงฆ์นั้นนะ สงฆ์เขาก็มีวินัยของเขา ภิกษุผู้ที่อุปัฏฐากพระองค์นั้น ถ้าพระองค์นั้นเสียชีวิตไป สมบัติของพระองค์นั้นคือบริขาร ๘ จะเป็นของภิกษุผู้ดูแลนั้น นี่สังคมของสงฆ์เขาก็มีธรรมวินัยของเขา ฉะนั้น สิ่งที่อารามิกเป็นที่สาธารณะ เห็นไหม เวลาสร้างวัดขึ้นมา จะบอกว่าภิกษุทั้งจตุรทิศ ผู้ที่ยังไม่ได้มาขอให้มา ผู้ที่มาอยู่แล้วขอให้ร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม ร่มเย็นเป็นสุข

นี่การประพฤติปฏิบัติถ้าร่มเย็นเป็นสุข เราไปวัดเราไปเห็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเราเห็นสภาวะแบบนั้น นี่มันได้คิดไหม? ถ้ามันได้คิดขึ้นมา มีสติปัญญาขึ้นมา เราคิด นี่โลกเราก็แสวงหาของเรานะ แสวงหาของเราเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น แล้วเป็นภาระรับผิดชอบ มันต้องดูแลบริหารจัดการไปหมดเลย แต่ถ้าเราว่าสิ่งนั้นมันเป็นสมบัติ สมบัติที่เป็นสมบัติของโลก เราก็มีสิทธิส่วนหนึ่ง เราดูแลของเราไป มันจะไม่เร่าร้อนจนเกินไปนัก ถ้าไม่เร่าร้อนจนเกินไปนัก เห็นไหม เราไปวัดไปวาก็เหมือนกัน ไปวัดไปวาเป็นที่อยู่ของสมณะ สมณะร่มเย็นเป็นสุข สมณะเขาอยู่ของเขาได้นะ เราเตือนใจเราไง

นี่เวลาเราประพฤติปฏิบัติกันเราก็อยากได้คุณงามความดี ธรรมะปฏิรูปนะ ปฏิรูปหมายถึงว่า เราคิดเอาเอง เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีอวิชชา มีความไม่รู้ของเราในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำลายความไม่รู้อันนั้น ฉะนั้น ความรู้ของใจนั้นมันแจ่มแจ้งขึ้นมา มันถึงเห็นถูก เห็นผิด จับต้องสิ่งใดนะ จิตใจที่มันถูกต้องดีงามแล้ว จับต้องสิ่งใดมันก็เป็นความถูกต้องดีงามไปหมด จิตใจที่มันมีความมืดบอดอยู่นะ จับต้องของถูกๆ นะมันก็เป็นของผิดไปหมด ผิดเพราะอะไร? ผิดเพราะความไม่เข้าใจของเราไง นี่เราศึกษาทางวิชาการมาทั้งหมดเลย แต่เวลาเราไปหน้างานมันจะมีอุปสรรคมหาศาล

ในการประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน เวลาเราปฏิบัติของเรานี่เอาอะไรปฏิบัติ เราก็ว่าปฏิบัติกันนี่เอาอะไรปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติ เอาโลกปฏิบัติ โลกียะคือความรู้สึก ความนึกคิดของโลก ความรู้สึกนึกคิดของเรา ความรู้สึกนึกคิดของโลก เห็นไหม เวลามันตีธรรมขึ้นไป ดูสิระดับประเทศ เวลาเขาจะไปประเทศหนึ่งเขาต้องมีวีซ่า เขาต้องมีพาสปอร์ตของเขา กว่าเขาจะข้ามประเทศของเขา เขามาในสถานะสิ่งใด? เขามาในสถานะนักท่องเที่ยว เขามาในสถานะทำงาน พอเขามาอยู่แล้วเขาขอสัญชาติของเขา นี่ก็เหมือนกัน เวลาประเทศนะ เวลาประเทศที่เขาจะข้ามเขตแดนกัน เขาต้องมีหนังสือเดินทาง เขาต้องมีการตรวจสอบของเขานะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเราอยู่กับสภาวะของปุถุชน เราอยู่กับสามัญสำนึกของมนุษย์ ถ้ามนุษย์เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะข้ามไปสู่อริยภูมิ แล้วเราจะข้ามสู่อริยภูมิ เราจะทำอย่างใด? เราจะมีสติปัญญาแค่ไหน? เราจะทำสิ่งใดให้มันถูกต้องดีงามขึ้นไป ถ้าเราทำถูกต้องดีงาม นี่ไงมันถึงไม่ใช่ธรรมะปฏิรูป ธรรมะที่เราพอใจเองไง เวลาเขาข้ามเขตแดนกัน เขาต้องข้ามด่านศุลกากรใช่ไหม? ไอ้เราก็เข้าทางชายแดนไง ไอ้เราก็แอบเข้าไปไง เราก็มุดรั้วเข้าไปไง เรามาโดยผิดกฎหมายไง

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะปฏิรูปไง แล้วพอมันปฏิรูปขึ้นมาแล้ว เราได้เข้าประเทศไหม? เราก็ได้เข้า แต่เข้าไปถูกต้องตามชอบธรรม ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายล่ะ? เข้าไปแบบผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ นี่แสดงตัวก็ไม่ได้ว่าเราเป็นคนเถื่อน เราไม่มีสัญชาตินั้น เราเข้าไปในดินแดนนั้น นี่ก็เหมือนกัน เวลาธรรมะปฏิรูปนะมันก็บอกว่าไอ้นั่นเป็นธรรม ไอ้นี่เป็นธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งมันมีอยู่แล้ว อ้าว มันมีอยู่แล้วเพราะอะไร? เพราะมันไม่ได้ประทับตราไง ไม่ได้ผ่านเข้าศุลกากรไง มันไม่ถูกต้องชอบธรรมไง แต่ถ้ามันถูกต้องชอบธรรมล่ะ?

นี่ถูกต้องชอบธรรมคือทำความสงบเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามาแล้วเราก็รู้ตัวของเรา นี่มันชัดเจนของมัน มันชัดเจน เห็นไหม นี่จิตใจที่รู้ จิตใจที่เขารู้อยู่แล้วมันมีการกระทำของมัน มันไม่ใช่ปฏิรูป ถ้าธรรมะปฏิรูปมันทำตามความพอใจของตัว แล้วก็พยายามจะให้เป็นแบบนั้น นี่คนข้ามแดนไง เขาข้ามแดนไปถูกต้อง เขาจะทำอะไรเขาทำด้วยความเปิดเผย ไอ้เราไป เราข้ามแดนไปด้วยความผิดกฎหมาย เราลักลอบเข้าไป แต่ถ้าลักลอบเข้าไปเราก็หลบๆ ซ่อนๆ หลบๆ ซ่อนๆ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ก็ซ่อนๆ ธรรมชาติไง หลบไปไง มันไม่มีถูกมีผิดไง ก็ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิดไง แต่ถ้าคนเข้าไปเขารู้ว่าถูกหรือผิดนะ มาในสถานะนักท่องเที่ยวอยู่ได้กี่วัน มาในสถานะการทำงานอยู่ได้กี่วัน นี่หมดวันแล้วเขาก็ต้องไปต่ออายุของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ทำความสงบของใจได้มากน้อยแค่ไหน? ถ้าใจมีความสงบของมัน เห็นไหม เรามีโอกาสได้ทำงาน ถ้าทำงาน ทำงานในหน้าที่สิ่งใด? ถ้าทำงานเสร็จแล้วเรามีเงินของเรา เราทำงานแล้วเราได้ผลตอบแทน ผลตอบแทนเราโอนข้ามประเทศได้นะ เราโอนข้ามไปสู่บ้านเราได้ เราทำของเราได้ถูกต้อง เพราะมันถูกกฎหมาย นี่ไงธรรมะปฏิรูปมันตามความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริงเป็นอย่างไร? เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้วมันสงบอย่างไร?

นี่เราปรารถนาตรงนั้นไง ถ้าเราเข้าไปแล้ว เข้าไปวัดแล้วเราศึกษาของเราไง ศึกษา ปฏิบัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มีคุณค่ามาก ถ้ามีคุณค่ามากนะ เราทำบุญกุศล ไปวัดมันเป็นพิธีกรรม มันเป็นแค่พิธี มันเป็นศีลธรรม จริยธรรม มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของชาวพุทธ แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เป็นสมบัตินะ อัตตัตถสมบัติ สมบัติส่วนตน สมบัติของใจดวงนั้น ไม่ใช่ประเพณีนะ ประเพณีคือประเพณีที่เขาทำกันโดยสังคม แต่ถ้าอัตตัตถสมบัตินี่ของเราๆ ของมันเกิดจากเรา

ถ้าเกิดจากเรา เห็นไหม ฉะนั้น เป็นประเพณี เราก็ไปเป็นประเพณี ประเพณีเขาทำกันอย่างนั้น เราก็เป็นสังคมๆ หนึ่ง เราก็อยู่ในประเพณีของชาวพุทธนั่นแหละ แต่ประเพณีเราก็ทำกับเขา เราทำด้วยผู้ใหญ่ เห็นเขาทำ แล้วเรามีสติปัญญาของเรา แต่เวลาเราทำ เราวัดใจของเรา นี่เราวัดด้วยหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเราวัดของเราขึ้นมา จิตสงบก็รู้ว่าสงบ แล้วจิตมันใช้ปัญญานะ พอจิตมันออกมาใช้ปัญญา ปัญญาของจิตนะ เวลามันใช้ปัญญา มันแยกแยะของมันมันเกิดวิปัสสนาญาณ ถ้าเกิดวิปัสสนาญาณ เห็นไหม นี่งานชอบ งานชอบธรรม แต่ถ้าเขาเกิดมาด้วยสัญญาอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของเขานะมันไม่ชอบธรรม ไม่ชอบธรรมเพราะมันอยู่ในเขตแดนของปุถุชน มันอยู่ในเขตแดนของโลก มันไม่ใช่อยู่ในเขตแดนของธรรม

ถ้ามันอยู่ในเขตแดนของธรรมนะ จิตมันสงบแล้ว พอจิตสงบมันพ้นจากอวิชชา จากความไม่รู้ พอมันสงบ มันระงับ มันรู้ตัวมันเอง แต่ขณะที่เราไม่สงบเราก็ว่าว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ นี่เราสงสัยนะ เราบอกว่างๆ เราพยายามทำว่างๆ สบายๆ นี่สงสัยไหม? จิตใต้สำนึกสงสัยทุกคน แต่เข้าข้างตัวเองบอกว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ นี่มันถึงมีอวิชชา มีอวิชชาครอบงำไว้ กิเลสครอบงำไว้ มันถึงเกิดความลังเลสงสัย แต่ถ้าจิตมันสงบระงับ จิตมันเป็นความจริงขึ้นมานี่มันชอบธรรม ชอบธรรมเพราะมันรู้ชัดเจนของมัน แล้วเวลาออกใช้ปัญญา มันเปรียบเทียบได้เลยล่ะว่าภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร

เวลาเกิดภาวนามยปัญญา เห็นไหม ปัญญาที่มันแยกแยะ มันทำลายความลังเลสงสัย สิ่งที่มันตกผลึกในหัวใจ แล้วมันเพิกถอนออก มันโล่งโถงหมดเลย พอมันโล่งโถงขึ้นมา ปัญญาอย่างนี้นานๆ มันเกิดหนหนึ่ง คำว่านานๆ เกิดหนหนึ่งเพราะอะไร? เพราะว่ากว่าจะข้ามแดนได้ กว่าเราจะแก้ไขของเราได้ กว่าจะมีหลักมีเกณฑ์ของเรานะ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ทำงานของเรา ได้ผลตอบแทนขึ้นมา มันจะโอนกลับ โอนกลับไปเลี้ยงครอบครัวของเรา โอนกลับไป

นี่ก็เหมือนกัน พอปัญญามันเกิด สิ่งนี้มันเป็นผลตอบแทน ผลตอบแทน จิตมันโล่งโถง มันมีความสุขของมันไง คิดดูสิเราทำงานได้ผลตอบแทน กับที่เราเที่ยวเล่น เราเร่ร่อน เราทำสิ่งใด เราอาศัยสูดอากาศหายใจไปอย่างนี้ดำรงชีวิตไปวันๆ หนึ่ง เราเร่ร่อนของเราไป กับที่เราทำงานของเรา แล้วเราได้ผลตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอันมันแตกต่างกัน พอมันแตกต่างกันมันจะรู้เลย อ๋อ นี่โลกียปัญญาเป็นอย่างไร โลกุตตรปัญญาเป็นอย่างไร สุตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

นี่มันเห็นชัดของมันนะ คนภาวนาจะเห็นชัดเจนมาก ถ้าเห็นชัดเจน เห็นการบริหารจัดการของมัน นี่เราไปแล้วเราศึกษาของเรา เราวัดใจของเรา เราจะได้ประโยชน์กับเรานะ ถ้าประโยชน์กับเรา เห็นไหม คนไข้มียารักษาไข้นั้น ธรรมโอสถแก้ไข้ แก้ความเจ็บไข้ได้ป่วย คนหายจากไข้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“เวลาผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม”

เกิดธรรมขึ้นมา เหมือนผู้ที่เป็นหนี้ได้ใช้หนี้นั้น ทุกข์เพราะความเป็นหนี้ แล้วเวลามันปลดหนี้ ปลดความเป็นหนี้ คนไม่เป็นหนี้มันมีความวิตกกังวลไหม? คนเป็นหนี้มันวิตกกังวลไหม? เวลามันพ้นจากหนี้ นี่ก็เหมือนกัน พอเวลาปัญญามันชำระสะสางของมัน เห็นไหม มันปลดเปลื้องหมดเลย พ้นจากความเป็นหนี้ นี่เราเป็นหนี้ชีวิตนะ ชีวิตเราเป็นหนี้บุญหนี้กรรมกันไป เราถึงต้องละล้าละลังกันอยู่นี่ ถ้าคนมันปลดหนี้ มันไม่เป็นหนี้ใครเลย มันพ้นหมดเลยนี่ มันจะมีความสุขขนาดไหน?

ฉะนั้น ความสุขแบบนี้หาได้ที่ไหนล่ะ? นี่โลกเขาหากันนะ เราหากัน คนไปวัดมาก ใช่ไปวัดมาก แต่คุณภาพที่ไป ถ้าเราต้องคัดเลือกของเรา เราก็ไปกับเขานี่แหละ แต่เราไม่เอาปริมาณ เราเอาคุณภาพ เอาความสัมผัสของใจ ถ้าใจสัมผัสแล้วนะ เราออกไปทำหน้าที่การงานทางโลกเราก็มีจุดยืนของเรา เรามีหัวใจที่มั่นคง เรามีจิตใจที่ไม่หวั่นไหวกับเขา กระทบสิ่งใด? นี่คือโลกธรรม ธรรมะเก่าแก่ มีสรรเสริญ มีนินทา มีนินทากาเล เห็นไหม มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ คนเรานะจะสูงส่งขนาดไหน ๖๐ ปีเกษียณหมด ต้องเกษียณ ถึงเวลาแล้วเราต้องไป

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันมาเราก็ดูแลมัน เวลาเขาจะไป เห็นไหม เขาไปแล้ว แต่ชีวิตเรายังอยู่ ชีวิตเรายังอยู่ เรามีจุดยืนของเราไง สิ่งนี้เห็นแล้วขำๆ ด้วย อืม ชีวิตเป็นแบบนี้ ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา นี่มันจะทุกข์มันจะยากนะ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ ดูแลใจเรา ถ้าเราวัดใจของเรา เราฝึกใจของเราแล้ว ชีวิตของเรามันจะลุ่มๆ ดอนๆ ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวประสบความสำเร็จ เดี๋ยวจะผิดพลาดบ้าง มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน มีของมันโดยเวรโดยกรรมของมัน

ถ้ามีของมัน เรามีสติปัญญาแล้ว สิ่งนี้จะไม่เบียดเบียนหัวใจเรา เห็นไหม หัวใจเราได้รักษาแล้ว ดูแลแล้ว มันจะมีสติปัญญาควบคุมดูแล ปฏิบัติโดยชอบ นี่งานชอบ เพียรชอบ นี่ถ้ามันมีจุดยืนก็จุดยืนโดยชอบ แล้วเรารักษาชีวิตเรา ทำดีที่สุด แล้วถึงเวลาแล้วเราจะไปกันข้างหน้า แล้วข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อยู่ที่สุคโตในปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันนี้มันสงบระงับ ข้างหน้าเราก็ปลอดภัย ถ้าปัจจุบันนี้มันไม่สงบระงับ ข้างหน้าเราต้องไปแก้ไขของเรานะ นี้เพื่อประโยชน์กับชีวิต เอวัง